วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2552
เมืองซาตาล ฮูยุค (Catal Huyuk)
เมืองซาตาล ฮูยุค (Catal Huyuk) นี้ มีความเก่ามาก จนย้อนไปถึงสมัยยุคหินใหม่ พอๆ กับซากเก่าที่สุดซึ่งจมอยู่ใต้ เมืองเจริโค มีอายุประมาณ 6,500-4,700 ปีก่อนคริสตกาล ก็เกือบๆ หมื่นปีมาแล้ว นี่เรียกว่าเป็นสมัยที่เจริญ ขึ้นแล้วนะ ส่วนสมัยที่เริ่มสร้างบ้านแปงเมืองจริงๆน่ะ อาจจะย้อนไปเมื่อหมื่นปีมาแล้วก็ได้
เมืองนี้มีลักษณะความเป็นเมืองอย่างครบครัน ไม่ใช่เป็นเพียงชุมชนหนาแน่น เหมือนอย่างถิ่นที่อยู่ของคนในยุคหินใหม่อื่นๆ และก็เป็นเมืองที่มีความลับเป็นคุณสมบัติ ประจำตัวเสียด้วย เล่นเอานักโบราณคดีตาโตไปตามๆ กันด้วยความสนใจ เพราะจนป่านนี้ ความลึกลับบางส่วนของซาตาล ฮูยุค ยังไม่เปิดเผยออกมาเลย
ความลับที่ว่านั้นคืออะไร เดี๋ยวจะว่าให้ละเอียด ตอนนี้มาคุยถึงลักษณะโดยทั่วๆ ไปของเมืองนี้ ก่อน
สถานที่ตั้งของเมืองนี้อยู่ใกล้กับ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ห่างไกลจากเจริโคมาก เออ..ลืมบอกไปว่า ปีที่ค้นพบเมืองนี้คือปี 1961 แค่ 40 กว่าปีมานี่เอง นับว่าเป็นเมืองเก่าที่พบล่าช้ามากทีเดียว ซากเมืองเต็มไปด้วยร่องรอยของ อาคารที่ทำ ด้วยอิฐดิบ มีรูปทรงประหลาด คือสร้างติดๆ กันไป มีทางออกอยู่ ทางเดียว คือ ทางหลังคา นับว่าเป็น สถาปัตยกรรมแปลกที่มี เอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครในโลกจริงๆ เวลาชาวบ้านจะออก จากบ้านทีต้อง ปีนกระได ออกทางช่องบนหลังคา เวลาจะเข้าบ้านก็ปีนกระไดอีก
นักโบราณคดีที่ขุดเอาซาตาล ฮูยุคออกมาจากพื้นดินในพื้นที่ราบ อนาโตเลียเป็นคนแรกคือ เจมส์ เมลลาอาร์ท (James Mellaart) เมื่อปี 1961 ดังกล่าวมาแล้ว เขาเล่าถึงการสำรวจครั้งนี้ ให้ฟังอย่างสนุกพอใช้
“...เราพากันไปทดลองขุด ณ บริเวณที่เคยเห็นอิฐดิบและเศษ เครื่องมือสมัยหินใหม่ กระจัดกระจายอยู่ ในวันแรกไม่พบอะไรเลย นอกจากซากกำแพงพังๆกับกองขี้เถ้าเป็น ภูเขาเลากา วันที่สองพบเครื่องมืออีก ซึ่งทำให้เราเชื่อมั่นว่าซากเมืองที่ขุดนี้เป็น เมืองในยุค นีโอลิธิค หรือ ยุคหินใหม่แน่แล้ว จนถึงวันที่สามซีครับ ขณะที่คนงานของผมคนหนึ่งลงไป ขุดในหลุมลึก มีลักษณะแคบยาวตามรูปภูมิประเทศ
พลั่วของเขาไปกระทบบางส่วนของกำแพง ที่ยังตั้งดิบดี อยู่ เรารีบกะเทาะดินออกอย่างระมัดระวัง ปูนปลาสเตอร์ที่ฉาบกำแพงร่วงกราวๆ ออกมา และแล้วเราก็มองเห็นสีสันสดใสที่เขียนไว้อย่างเหลือเชื่อ มันเป็นจิตรกรรมฝาผนังครับ... ใช่, วอลล์เพนติ้งเก่าที่สุดในโลกเท่าที่มีการขุดพบกันมา...”
จากจุดนี้เอง เมลลาอาร์ทได้พบ สิ่งที่น่าตื่นเต้นต่อไปอีก ภาพเขียนบน ผนังนั้นมีมากมาย เป็นเหตุการณ์ต่างๆกัน เช่น การล่าสัตว์บ้าง ภาพชีวิตประจำวัน บ้าง ภาพการเล่นต่างๆบ้าง ล้วนเขียน ด้วยสีสดใส มีทั้งแดง, เหลือง, ดำ และ ชมพูเหมือนผิวเนื้อคน ฝีมือที่เขียนนั้นใช้ได้ทีเดียว แม้ว่าบางรูปคนดูจะ ไม่เข้าใจว่าคนเขียน ต้องการหมายถึง อะไรก็ตาม
เมื่อกี้เราได้ขยักความลับของเมืองเก่า ที่สุดในโลกเอาไว้ ตอนนี้ขอเฉลยเลยก็แล้วกัน นั้นคือนักโบราณคดี พินิจจากลักษณะอาคารสถานที่ ผนังกำแพง และรูปเขียนจิตรกรรมฝาผนังที่บรรจงกันสุด ฝีมือแล้ว ลงความเห็นว่า เมืองนี้ไม่ใช่เป็นเมืองที่อยู่อาศัยหรอกขอรับ
อ้าว ไหงเป็นยังงั้น?...ไม่ได้สร้างเป็นเมืองให้อาศัย แล้วจะสร้างเป็นเมือง สวรรค์อะไรกันล่ะ?
คำตอบนั้นมีอยู่ ครับ นักโบราณคดีเขาหาคำตอบไว้ให้เราแล้ว เสียแต่เป็นคำตอบที่เขาเองก็ยัง ไม่แน่ใจว่าจะถูกต้องตรงกับความเป็นจริงหรือเปล่านั้น
นั่นก็คือ ซาตาลฮูยุคเป็นเมืองศูนย์กลาง แห่งศาสนาหรือพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เท่านั้นครับ ชาวเมือง จะมารวมอยู่ที่นี่ใน เวลาทำพิธีใหญ่ๆ หรือในเวลาประกอบ ศาสนพิธี ประจำวันของตน แล้วจึงกลับไป ยังที่แห่งอื่นหรือเมืองอื่น ซึ่งใช้เป็นที่อยู่ อาศัยถาวรต่อไป
การที่นักโบราณคดีลงความเห็นยังงี้ ก็เพราะมันมีเหตุจูงใจให้คิดไปได้เช่นนั้น
กล่าวคือ อาคารต่างๆในเมืองนี้มีลักษณะ เป็น ศาสนสถานที่ห้อมล้อมด้วยกำแพง ซึ่งประดับด้วย รูปเขียน อย่างว่าแหละ อาคารบ้านเรือนแต่ละหลังล้วนโอ่อ่า สง่างาม แสดงว่าเป็นบ้านของคนรุ่มรวย ทั้งนั้น นี่ขุดเท่าไหร่ก็ไม่ยักเจอแหล่งเสื่อมโทรม หรือสลัมยุคหินเลยซักนิด
คงไม่ใช่ เป็นเพราะเมืองนี้ไม่มีคนจนหรอกนะครับ แต่คงเป็นเพราะว่าคนชั้นกลางและคนจนนั้นถูกกันให้ไปอยู่ที่อื่นมากกว่า นอกจากนี้ ยังมีอาคารเป็นอันมากในซากเมืองที่แสดงว่าเป็นวิหาร หรือ ศาสนาคารเท่านั้น ไม่มีร่องรอยของตลาด, คอกปศุสัตว์, ยุ้งฉางสำหรับเก็บพืชผล ตลอดจน โรงงานหรือร้านรวงก็ไม่มีปรากฏแม้แต่เงา
แสดงว่าสถานที่ซึ่งกล่าวมานี้ทั้งหมด คงไปอยู่ที่อื่น อันเป็นถิ่นที่อาศัยของเขาเท่านั้น เมืองนี้เป็นเพียงศูนย์กลางของศาสนาและพิธีกรรม อาคารบ้าน อิฐดิบที่เห็นนั่นอาจเป็นบ้านคนรวยเพียงหยิบมือ หรืออาจเป็นที่อยู่ของนักบวชโดยเฉพาะ ก็ย่อมได้
ความลับดำมืดมนอีกอย่างหนึ่งก็คือ ประชาชนชาวเมืองเก๋ากึ๊กส์นี้เป็นใครมา จากไหน?...ไม่มีใครตอบได้
จากการขุดสำรวจลึกลงไปใต้ดินลึกตั้ง 15 เมตรแล้ว ยังไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับชีวิต ชาวเมือง เพิ่มเติมเลย อย่างไร ก็ตาม ในการขุดเนินลูกหนึ่ง ซึ่งมีส่วนสูง 55 ฟุต พบโครงกระดูกมนุษย์ หญิงชายและเด็ก หลายร้อยโครงครับ รวมทั้งข้าวของ เครื่องใช้ส่วนตัวรวมอยู่กับศพด้วย ในตอนแรกที่พบโครงกระดูกเหล่านี้ นักโบราณคดีคาดว่าความลับเกี่ยวกับ ชนยุคหินใหม่นี้ คงจะเผยออกมาพร้อมกับกะโหลก ที่ยิงฟันแหงแก๋เนี่ยละ แต่เมื่อส่งโครงกระดูกและกะโหลก เหล่านั้นไปที่ สหรัฐอเมริกา ผลที่ได้จากการตรวจสอบ ด้วยกรรม วิธีใหม่ล่าสุด ทำให้ นักโบราณคดีต้องงงงวยไปทันใด
ดร.เจ.ลอเร้นซ์ แห่งสถาบันสมิธโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พิจารณาโครงกระดูกเหล่านั้น แล้วส่ายหน้า ไม่รู้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ไหน เพราะเท่าที่ตรวจดูอย่างละเอียดนั้น รู้แต่เพียงว่าคนพวกนี้ มีรูปร่างเล็ก อายุไม่ยืนยาว ผู้ชายจะมีส่วนสูงเฉลี่ยประมาณ 5 ฟุต 7 นิ้ว ผู้หญิงสูงราว 5 ฟุต 1 นิ้ว เป็นอย่างมาก ผู้ชายมี อายุเฉลี่ย 34 ปี ก็ม้วยมรณา ส่วนผู้หญิงนั้นอายุอานามไม่ทันถึงสามสิบก็ลงหลุมเสียแล้ว ถึงยังงั้นก็พบ หลักฐานชัดเจนว่า ในเมืองซาตาล ฮูยุค แต่อดีตร่วมหมื่นปีนู้นน่ะ ผู้หญิงเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
นักโบราณคดีขุดพบรูปเคารพของชาวเมืองฝังดินอยู่มากมายหลายชิ้น มีตั้งแต่ขนาดใหญ่กว่า ตัวคนลงไปจนถึงขนาดเท่าหัวแม่มือ ล้วนเป็นรูปของเทวีหรือเทพเจ้าสตรีทั้งนั้น จึงสันนิษฐานว่า ที่ซาตาล ฮูยุค นั้นคงจะนับถือเจ้าแม่โพสพเป็นเทวีสูงสุด เพราะพบโพสพเทวี อยู่หลายแห่ง มีทั้งรูปสลักจากหินงอกหินย้อยไปจนถึงรูปที่ปั้นจากดินอย่างหยาบๆ
จึงเดาต่อไป ได้อีกว่า ในเมื่อเทพสูงสุดเป็นสตรี นักบวชทั้งหลายคงเป็นภิกษุณีเสียทั้งนั้น และแน่ล่ะ ถ้าหากว่าศาสนาอยู่ในอุ้งมือสตรีเสียแล้ว การเมืองการปกครองก็น่าจะมีผู้หญิง มีสิทธิมีเสียงมากกว่า หรืออย่างน้อยก็มากเท่าผู้ชายทีเดียวละ
นี่แสดงว่าสิทธิของสตรี เจริญมาตั้งแต่ ยุคหินใหม่เกือบ หมื่นปีแล้ว
วิหารสำหรับเทพเจ้าที่เป็นบุรุษเพศ เท่าที่พบมีแห่งเดียวครับ เป็นคาวีเทพ หรือ เทพเจ้าวัว ในนั้นมีรูปสลักหัววัว เต็มไปหมด สวยเสียด้วยซี ไม่มีใครรู้ว่า เทพเจ้าวัวมีนามกรว่ากระไร สำคัญ อย่างไร เป็นเทพสูงสุดคู่เคียงกับ โพสพเทวีหรือเปล่า?...
สิ่งที่ขุดพบจำนวนมากในซากเมืองเก่าที่สุดนี้ ตั้งแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์กรุงแองการา ทุกอย่าง แสดงให้เห็นว่าเมืองนี้ออกจะร่ำรวยพอใช้ทีเดียว ความเจริญทางฝีมือช่างรึก็สูงส่ง สังเกตจาก การทำอาวุธ ข้าวของเครื่องใช้ประจำตัวและประจำวัน ตลอดไปจนถึงเครื่องประดับ ล้วนทำขึ้น อย่างประณีตบรรจงด้วยฝีมือดีทั้งสิ้น เครื่อง ประดับน่ะน่าชมมากครับ มีทั้งแหวน, สร้อยคอ, จี้ห้อยคอ, ตาบทิศทับทรวงอะไรก็มี แล้วก็ยังมีต่างหู กำไล ฯลฯ อีกด้วย ทุกชิ้นทำจากลูกปัดใส หรือไม่ก็เปลือกหอยสีสวยๆ
การทำมาหากินของชาวเมืองนี้คงอาศัยการ กสิกรรมเป็นส่วนใหญ่ เมื่อหมดฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว ชาวเมืองใช้เวลาว่างตกแต่งอาคารบ้านเรือนของตน ผู้ชายจะซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดเสียหาย คนที่มีฝีมือก็วาดรูปบนผนัง ส่วนผู้หญิงก็นวดแป้ง ทำงานบ้านต่างๆ เวลาที่เหลือก็ออกไป เล่นเกมบ้าง ไปล่าสัตว์บ้าง และไปทำพิธีที่วิหาร
วิธีการเดินเหินเข้าออกบ้านของชาวเมืองนี้ คาดว่าสถาปนิกสมัยใหม่ไปเห็นแล้วคงเรอเอิ้กๆ เพราะว่าเขาใช้หลังคา บ้านของเพื่อนบ้าน นั่นแหละเป็นทางเดิน บ้านแต่ละหลังตั้งประชิด ติดกันเป็นแถว มีทางเข้าออกเฉพาะบน หลังคาเท่านั้น
เป็นที่น่าเสียดายเสียจริงๆ เลย...ที่ไม่มี การขุดสำรวจเพิ่มเติมเพื่อนำเอา ความลับเกี่ยวกับอดีตของมนุษย์ออกมาตีแผ่ อย่างซาตาล ฮูยุคนี้ นับว่าน่า เสียดายเอามากๆ เพราะมีหลักฐานเห็นกระจะอยู่แล้วแท้ๆ ว่าที่นี่เป็นเมืองเก่าที่สุดของโลก ซึ่งยังขุดสำรวจไม่ตลอดเลย ถ้าขุดต่อไปอีกก็จะต้องพบซากอะไร ที่อาจไขความลับก็ได้
แต่ก็ไม่มีการขุดเพิ่มเติมจนแล้วจนรอด การขุดทาง โบราณคดีที่ซาตาล ฮูยุค สะดุดหยุดลงในปี 1965 แล้วก็นิ่งสนิทอยู่แค่ตรงนั้น ไม่มีการขุดต่อแม้เวลาจะผ่านมาตั้ง 39 ปีแล้วก็ตาม บางทีสภาพภูมิประเทศ และสภาวะทางการเมืองอาจเป็นอุปสรรคแก่การสำรวจ อย่างร้ายแรงก็ได้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น