วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หน้าต่างชั้นบน

หน้าต่างชั้นบน (เสียงอ่าน: /ˈklɪə(r)stɔəri/; อังกฤษ: Clerestory หรือ Clearstory หรือ Clerestory หรือ Overstorey) หรือที่แปลตรงตัวว่า “ชั้นที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง” (clear storey) เป็นส่วนประกอบของสิ่งก่อสร้างที่หมายถึงชั้นบนของบาซิลิกาโรมัน หรือเหนือทางเดินกลางหรือบริเวณพิธีของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ หรือ สถาปัตยกรรมกอธิคของคริสต์ศาสนสถาน ผนังซึ่งสูงขึ้นไปจากทางเดินข้างและปรุด้วยหน้าต่าง จุดประสงค์ของการมี “หน้าต่างชั้นบน” ก็เพื่อให้แสงสว่างสามารถส่องเข้ามาในสิ่งก่อสร้างได้

ประวัติ

ผนังที่มี “หน้าต่างชั้นบน” ของสิ่งก่อสร้างลักษณะบาซิลิที่เต็มไปด้วยงานโมเสกที่มหาวิหารมอนริอาลMonreale
ผนังทางเดินกลางแบ่งเป็นสามตอนๆ บนเป็น หน้าต่างชั้นบน ต่ำลงมาเป็นระเบียงแคบ (Triforium) และใต้ระเบียงแคบเป็นซุ้มโค้ง (แอบบีมาล์มสบรี, วิลท์เชอร์, อังกฤษ)
“หน้าต่างชั้นบน” ของมหาวิหารแซงต์เดอนีส์ที่ทำให้แสงส่องเข้ามาอาบบริเวณขับเพลงสวดตามความต้องการของการออกแบบของแอบบ็อตซูแกร์





สมัยโบราณ
วิธีการสร้างหน้าต่างชั้นบนปรากฏในการสร้างวัดในอียิปต์ คำว่า “หน้าต่างชั้นบน” ที่ใช้ในวัดอียิปต์โบราณหมายถึงบริเวณโถงที่มีแสงส่องเข้ามาได้ระหว่างช่องที่สร้างด้วยหินแนวดิ่งจากในบริเวณที่มีคอลัมน์รับเพดานของทางเดินข้างที่ติดกัน หน้าต่างชั้นบนปรากฏในอียิปต์มาตั้งแต่สมัยอมาร์นา (Amarna)
ในพระราชวังมิโนอันของครีตเช่นคนอสซัส (Knossos) นอกจากจะใช้ “หน้าต่างชั้นบน” แล้วก็ยังใช้ “lightwell” ด้วย[2]

หน้าต่างชั้นบนใช้ในสถาปัตยกรรมกรีก เมื่อมาถึงสมัยโรมันก็มีการใช้ในสิ่งก่อสร้างแบบบาซิลิกาที่รวมทั้งสถานที่อาบน้ำและวัง



บาซิลิกาของคริสเตียนยุคแรกและไบแซนไทน์
การสร้างวัดคริสเตียนยุคแรกและบางวัดของสมัยไบแซนไทน์โดยเฉพาะในอิตาลีมีพื้นฐานมาจากสิ่งก่อสร้างแบบบาซิลิกาของโรมันซึ่งยังคงรักษาโถงทางเดินกลาง (nave) ขนาบด้วยทางเดินข้างที่เตี้ยกว่าสองข้าง ทางเดินกลางและทางเดินข้างแยกออกจากกันด้วยแนวเสาเหนือส่วนที่แยกกันเป็นผนังที่สูงขึ้นไปที่มีหน้าต่างชั้นบนเป็นระยะๆ


สมัยโรมาเนสก์
ระหว่างสมัยโรมาเนสก์วัดแบบบาซิลิกาก็สร้างกันทั่วไปในยุโรป วัดส่วนใหญ่มีหลังคาเป็นไม้และมีหน้าต่างชั้นบนภายใต้ วัดบางวัดมีเพดานโค้งแบบประทุนที่ไม่มีหน้าต่างชั้นบน แต่การวิวัฒนาการการก่อสร้างที่ใช้เพดานโค้งประทุนซ้อน (groin vault) และเพดานโค้งสัน (ribbed vault) สามารถทำให้สร้างหน้าต่างชั้นบนได้

เดิมทางเดินกลางของวัดที่มีทางเดินกลางกว้างจะทำเป็นสองชั้นๆ ล่างเป็นซุ้มโค้งและเหนือขึ้นไปเป็นหน้าต่างชั้นบน ระหว่างสมัยโรมาเนสก์ก็มีการเพิ่มชั้นขึ้นอีกชั้นหนึ่งระหว่างสองชั้นนี้เป็น “ระเบียงแคบ” ระเบียงแคบโดยทั่วไปจะเป็นบริเวณเปิดภายใต้หลังคาที่ลาดลงมาของทางเดินข้าง การก่อสร้างลักษณะนี้กลายมาเป็นมาตรฐานของการก่อสร้างของสมัยปลายโรมาเนสก์และวัดกอธิคขนาดใหญ่หรือมหาวิหาร บางครั้งก็จะมีการเพิ่มระเบียงขึ้นอีกระเบียงหนึ่งในผนังเหนือระเบียงแคบและใต้หน้าต่างชั้นบน ลักษณะนี้พบในสิ่งก่อสร้างของสมัยปลายโรมาเนสก์และต้นกอธิคของฝรั่งเศส





สมัยกอธิค
ถ้าเป็นวัดเล็กหน้าต่างชั้นบนก็อาจจะเป็นมหาวิหาร สี่กลีบ (quatrefoil) หรือสามกลีบในวงกลม ในวัดในอิตาลีก็อาจจะเป็นหน้าต่างกลม ถ้าเป็นวัดใหญ่หน้าต่างชั้นบนเป็นสิ่งสำคัญของสิ่งก่อสร้างทั้งทางด้านความสวยงามและประโยชน์ทางการใช้สอย เพดานโค้งสันและครีบยันของสถาปัตยกรรมแบบกอธิคเป็นตัวรับน้ำหนักและความกดดันของสิ่งก่อสร้างที่ทำให้สามารถสร้างหน้าต่างชั้นบนที่กว้างขึ้นได้ ในสมัยกอธิคหน้าต่างชั้นบนมักจะแบ่งเป็นช่วงๆ ตามการแบ่งของหลังคาโค้งที่แล่นลงไปตามคอลัมน์ที่เป็นซุ้มโค้งที่แยกระหว่างทางเดินกลางและทางเดินข้าง

แนวโน้มของการวิวัฒนาการหน้าต่างชั้นบนตั้งแต่สมัยโรมานเนสก์มาจนถึงปลายสมัยกอธิคคือหน้าต่างชั้นบนที่สูงขึ้นๆ และกว้างขึ้นๆ จนกว้างกว่าสัดส่วนของผนัง


สมัยใหม่
การใช้ “หน้าต่างชั้นบน” ของสมัยใหม่คือการใช้ด้านบนของสิ่งก่อสร้างที่เป็นแนวหน้าต่างเหนือระดับตาในการให้แสงส่องเข้ามาในบริเวณภายในของสิ่งก่อสร้างโดยไม่ทำให้เสียความเป็นส่วนตัวและไม่ดึงความสนใจไปกับทิวทัศน์ภายนอก การก่อสร้างโรงงานมักใช้วิธีนี้ หรือบ้านสมัยใหม่บางทีก็มีส่วนประกอบนี้ อีกตัวอย่างหนึ่งคือโรงละครครอสบีของโรงอุปรากรซานตาเฟที่ทางด้านหน้าและด้านหลังของหลังคาเชื่อมกันด้วยหน้าต่างชั้นบน เพาโล โซเลอริใช้ “หน้าต่างชั้นบน” ที่เรียกว่า “ตวงแสง” (light scoops)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น