วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ครีบยัน flying buttress หรือ arc-boutant


ครีบยัน (ภาษาอังกฤษ: flying buttress หรือ arc-boutant) ในทางสถาปัตยกรรมมักจะใช้ในการก่อสร้างคริสต์ศาสนสถานเพื่อแบ่งรับน้ำหนักจากหลังคามาสู่ค้ำยันที่กระจายออกไปเป็นระยะๆ ซึ่งอาจจะเป็นทางเดินข้าง (aisle) คูหาสวดมนต์ หรือระเบียงนอกสิ่งก่อสร้าง การใช้ค้ำยันปีกทำให้ทุ่นการรับน้ำหนักหรือแรงกดดันกำแพงที่แต่เดิมต้องรับน้ำหนักและความกดดันทั้งหมด จึงทำให้สามารถทำหน้าต่างได้กว้างขึ้นได้ ซึ่งถ้าทำเช่นนั้นโดยไม่มีค้ำยันปีกก็จะทำให้กำแพงไม่แข็งแรง

จุดประสงค์ของค้ำยันปีกก็เพื่อช่วยลดน้ำหนักกดดันของกำแพงทางเดินกลาง แรงกดดันและน้ำหนักส่วนใหญ่จะอยู่ส่วนบนของค้ำยันฉะนั้นเมื่อทำค้ำยันเป็นครึ่งซุ้มโค้งก็ทำให้สามารถรับน้ำหนักได้เท่าๆ กับค้ำยันที่ตัน นอกจากนั้นยังทำให้ค้ำยันเบาขึ้นและราคาถูกกว่าที่จะสร้าง ฉะนั้นกำแพงจึง “บิน” ออกไปจากสิ่งก่อสร้างแทนที่จะเป็นกำแพงทึบจึงเรียกกันว่า “ค้ำยันปีก”




วิธีการก่อสร้างที่ใช้ค้ำยันมีมาตั้งแต่สมัยสถาปัตยกรรมโรมันและต้นโรมาเนสก์แต่สถาปนิกมักจะพรางโดยการซ่อนใต้หลังคา เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 สถาปนิกก็เห็นถึงความสำคัญของค้ำยันและมาเน้นการใช้ค้ำยันเป็นสิ่งตกแต่งสิ่งก่อสร้างเช่นที่มหาวิหารชาร์ทร (Cathedral of Chartres) มหาวิหารเลอมานส์ (Cathedral of Le Mans) มหาวิหารบูเวส์ (Cathedral of Beauvais) มหาวิหารรีมส์ (Cathedral of Reims) และ มหาวิหารโนเตรอดามแห่งปารีสเอง

บางครั้งเมื่อเพดานสูงมากๆ สถาปนิกก็จะใช้ค้ำยันปีกซ้อนกันสองชั้นหรือบางครั้งการจ่ายน้ำหนักก็จะกระจายออกไปกับค้ำยันสามสี่อัน ตามปกติแล้วน้ำหนักของค้ำยันก็จะเพิ่มน้ำให้กับตัวอาคารพอสมควร ฉะนั้นค้ำยันจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งก่อสร้างที่สำคัญ การใช้ค้ำยันดิ่งเป็นระยะๆ ทำให้เพิ่มการรับน้ำหนักและแรงกดทับได้ดีขึ้นกว่าที่จะสร้างตลอดแนวกำแพง ค้ำยันดิ่งที่ใช้ในการก่อสร้าง มหาวิหารลิงคอล์น เวสท์มินสเตอร์แอบบีอยู่ภายนอกหอประชุมสงฆ์ ค้ำยันดิ่งมักจะใช้ยอดแหลม (pinnacle) เพื่อช่วยเพิ่มแรงต่อต้านของสิ่งก่อสร้าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น